วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

มาทำคุ้กกี้ Gingerbread กันเถอะ



ส่วนประกอบ
มาการีน         200 กรัม
น้ำตาล          200 กรัม
แป้งทำขนม    450 กรัม
โซเดียมไบคาบอเนต  1 ช้อนชา
ขิงผง                      2-4 ช้อนชา
น้ำเชื่อม Golden syrup        1-2 ช้อนชา

น้ำตาลไอซิ่ง ช็อคโกแลตเม็ด สำหรับตกแต่ง

วิธีทำ

ตั้งเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศา ทาถาดอบด้วยเนยหรือมาการีน

  • นำมาการีนและน้ำตาลในโถแลขนให้เข้ากันด้วยช้อนไม้ ตีให้ฟู
  • ค่อยๆ ใส่ส่วนประกอบที่แห้งลงไป (แป้ง โซดาไบคาบอเนต และผงขิง) และผสมให้เข้ากัน
  • ใส่น้ำเชื่อมอุ่นลงไปให้แป้งแข็ง
  • นวดแป้ง และวางบนพื้นผิวเรียบๆ  ค่อยๆเติบแป้งลงบนโต๊ะ และใช้ไม้กลิ้ง จนแป้งไม่ติดกัน
  • โรยแป้งที่แบบกด และกดแป้งตามแบบ
  • นำขนมที่กดตามแบบไปวางบนถาดอบ กระจายขนมให้ดี
  • วางถาดในเตาที่ได้อุณหภูมิประมาณ 10-15 นาที
  • ปล่อยให้เย็น
  • ให้เด็กๆ ช่วยกันใช้น้ำตาลไอซิ่ง ช็อคโกแลต มาตกแต่งเป็นรูปร่างต่างๆ
  • ให้สนุก คุณควรจะหาแบบพิมพ์หลายๆแบบ ให้เด็กๆไ้ด้ใช้จินตนาการ

วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

มาทายเพศของลูกในท้องกันเถอะ

AttributionNoncommercialShare Alike Some rights reserved by John a Ryan

เมื่อเรารู้ว่ากำลังจะมีหนูน้อยสมาชิกเกิดใหม่ในครอบครัว ทั้งคุณพ่อคุณแม่ต่างก็ตื่นเต้นต้องการรู้เพศของลูก แม้ว่าใจอยาก จะรอลุ้นตอนคลอดออกมาก็เถอะ แต่ร้อยละ 90% ส่วนใหญ่อยากทราบก่อนทั้งนั้น 
เราจะได้ยินคำโบราณที่มักจะทำนายจาก "ลักษณะท้องของแม่" หากท้องดูกลม ป้าน ตอนตั้งท้องก็ทายว่าจะต้องได้ลูกผู้หญิง 
หากท้องแหลม ทำนายว่าจะได้ลูกชาย หรือบ้างก็จะออกไปทางแนวความฝัน หากตอนท้องแม่ฝันว่าได้แหวน หรือ เครื่องประดับ สวยงาม ทายว่าจะได้ลูกสาว หรือหากฝันว่าได้รับสิ่งของที่เป็นมงคล ทำนายว่าจะได้ลูกชายแน่นอน ซึ่งเป็นความเชื่อ และวิธีทำนายเพศลูกของคนโบราณ ส่วนจะแม่นหรือไม่แม่นนั้นยังไม่มีการเก็บสถิติไว้ชัดเจนค่ะ หลายวันก่อน ในขณะที่พวกเรากำลังประชุมงานกันอยู่นั้น คุณซันแกได้แนะนำเว็บไซต์ The Bump ให้พวกเรา แต่ที่เราสนใจ อย่างแรง นั่นก็คือ ชาร์ตทำนายเพศของลูก (Chinese Gender Chart) คุณซันฝากโฆษณาให้กับเว็บไซต์เดอะ บั๊มป์ไว้ด้วยว่า "ไม่รู้สินะว่าแม่นหรือไม่แม่น แต่ทายมา 10 คน ผิดแค่คนเดียว" 

โอ้วววแม่เจ้า!! 1 ใน 9 คนที่คุณซันทายเพศถูกจากการใช้ชาร์ตนี้ก็มี น้องซันจูเนียร์ ลูกชายของเฮียแกด้วย โฮะๆๆ ลองดูค่ะ วิธีการใช้งานง่ายแสนง่าย เพียงใส่อายุของแม่ตอนทั้งท้อง และเดือนที่เริ่มปฏิสนธิ ดังนี้Mother’s age at conception คือ อายุของคุณแม่ตอนตั้งครรภ์ Month of conception คือ เดือนที่คุณแม่มีเพศสัมพันธ์แล้ว ตั้งครรภ์เพียงกรอกข้อมูลเพียง 2 ข้อนี้แหละ โปรแกรมก็สามารถทายเพศลูกได้ทันที ศาสตร์นี้เป็นศาสตร์ของชาวจีนโบราณ ซึ่งมีมานาน กว่าหลายพันปี คนจีนนิยมใช้โปรแกรมนี้วางแผน ในการมีลูกเพศที่ตนต้องการเชียวนะ สีฟ้าคือผูชาย สีชมพูคือผู้หญิง

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สัญญาณบอกว่าคุณมีพี่เลี้ยงเจ้าปัญหา



คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่คุณจะบอกได้ว่าพี่เลี้ยงเด็กของคุณทำงานได้ตามที่คุณคาดหวังหรือไม่  แต่คุณก็คงต้องเล่นบทนักสืบกันบ้าง ผู้ปกครองบางท่านที่สงสัยในพฤติกรรมพี่เลี้ยงจนต้องใช้อุปกรณ์สอดแนม  แต่จริงๆแล้วก็ยังมีเทคนิคหลายอย่างที่จะบอกคุณได้ว่าสิ่งผิดปกติกำลังเกิดขึ้นหรือไม่

คุณอาจจะอยู่ในสถานการณ์ไม่ดีนัก ถ้าเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น
  • เจ้าตัวน้อยของคุณดูไม่ค่อยจะเป็นสุขเมื่อเห็นพี่เลี้ยง และดูจะกระวนกระวายและถอยห่าง  อย่าลืมว่า คุณพ่อคุณแม่ยังเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดสำหรับเจ้าตัวน้อย แต่เด็กก็ต้องได้รับความรักและความจริงใจจากพี่เลี้ยง  เป็นไปได้เหมือนกันที่ลูกและพี่เลี้ยงยังไม่สามารถที่่จะผูกพันกัน หรือ พี่เลี้ยงยังไม่สามารถสร้างความอบอุ่นที่เด็กต้องการได้ 
  • พี่เลี้ยงดูจะทำลึกลับเกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันของเด็ก  ไม่ว่าจะอย่างไรการที่เด็กและพี่เลี้ยงใช้เวลากันทั้งวันนั้นไม่ใช่เรื่องลับอะไร  เมื่อคุณกลับมาถึงบ้าน คุณก็อยากจะฟังว่าวันนี้ลูกของคุณเป็นอย่างไรบ้าง และทำอะไรบ้างในระหว่างที่คุณไม่อยู่  ถ้าพี่เลี้ยงของคุณไม่สามารถบอกได้ แสดงว่าเธออาจจะไม่เก่งที่จะสื่อสารกับคุณ หรือไม่ เธอก็มีบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการจะปิดบัง  ในกรณีที่ไม่สันทัดภาษาของคุณ พี่เลี้ยงก็ยังต้องบอกคุณได้ว่าเด็กทำอะไร และเข้าใจด้วยว่าคุณต้องการจะรู้อะไร
  • ลูกของคุณอยู่ในสถานการณ์ที่เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายบ่อย พี่เลี้ยงจะต้องคอยดูเด็กตลอดเวลา และรู้ว่าเด็กทำอะไรอยู่ เพื่อป้องกันการเกิดการบาดเจ็บ  บางครั้ง พี่เลี้ยงไม่ได้ดูเด็กในขณะที่เด็กนอนหรือเล่นอยู่
  • คุณสังเกตเห็นว่าพี่เลี้ยงไม่ได้ทำตามสิ่งที่คุณบอก  การที่คุณพ่อคุณแม่ทำงานทั้งสองคน ไม่ได้แปลว่าพี่เลี้ยงจะทำเหมือนกับว่าเธอรู้เรื่องของการเลี้ยงดูเด็กดีกว่าคุณ  อาจารย์ Kirsir Tikka จากนิวยอร์คบอกว่า ฉันไม่ชอบที่จะต้องป้อนอาหารเด็กตามตารางเวลา และก็บอกพี่เลี้ยงไปอย่างนั้น แต่พี่เลี้ยงก็ไม่ยอม สุดท้าย ก็ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้
  • ี่เลี้ยงดูจะวิพากย์วิจารณ์เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกของคุณ  เรื่องนี้คุณต้องทำงานกันเป็นทีมเช่นเดียวกัีน คุณควรจะยอมรับคำแนะนำที่สร้างสรรค์จากพี่เลี้ยงของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เธอใช้เวลากับลูกของคุณที่มีพัฒนาการเปลี่ยนไปตลอดเวลา แต่ถ้าคุณรู้สึกว่าคุณและพี่เลี้ยงดูจะคุยกันไม่ตรงในเรื่องพื้นฐานเช่น การทานอาหาร การนอน และเรื่องความปลอดภัย นั่นคงเป็นเวลาที่ต้องมาดูแล้วว่าจะอยู่กันได้นานเพียงใด
  • พี่เลี้ยงของคุณชอบมาสาย  พี่เลี้ยงที่ไม่รับผิดชอบจะทำให้คุณต้องเป็นกังวลครั้งแล้วครั้งเล่า  คุณจะต้องหาพี่เลี้ยงที่ยึดมั่นกับอาชีพ และใส่ใจในสิ่งที่คุณต้องการ  การมาสายและการขาดงานอย่างไม่มีเหตุผลอาจจะหมายถึงความไม่แน่นอนในเรื่องอื่นๆเช่นกัน
  • เจ้าตัวน้อยของคุณมักจะปรากฏตัวด้วยหน้าตามอมแมม ถ้าพี่เลี้ยงของคุณไม่ได้ใส่ใจในเรื่องพื้นฐานเช่นนี้ ก็คงจะเป็นสัญญาณที่จะบอกว่าเธอก็คงไม่สามารถทำสิ่งที่พี่เลี้ยงเด็กควรจะทำได้ดีเช่นกัน
  • พี่เลี้ยงของคุณเล่าเรื่องราวไม่ปะติดปะต่อ  คุณจะต้องไม่ยอมให้ใครมาขโมยของ โกหก หรือหลอกลวงคุณไม่ว่าในกรณีใดๆ  พี่เลี้ยงของคุณต้องเป็นที่เชื่อถือได้ ไม่เช่นนั้นคงจะอยู่ด้วยกันลำบาก

วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Exclusive Interview “Mission Impossible”

http://www.therichest.org/most-influential/young-and-most-powerful-ceos/
ในฉบับนี้ แทนที่จะเป็นการสัมภาษณ์พิเศษ เราขอเสนอเรื่องราว CEO ของ Gymboree ซึ่งได้พลิกฟื้นธุรกิจเสื้อผ้าของ Gymboree จนทำให้ Gymboree กลายเป็นหนึ่งในแนวหน้าของธุรกิจค้าปลีกในสหรัฐอเมริกา

Matt McCauley เริ่มเข้าทำงานใน Gymboree ในปี 2001 โดยทำหน้าที่ในการบริหารสินค้าคงคลังของธุรกิจเสื้อผ้าเด็ก Gymboree ใน 2003 Matt ได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นรองประธานด้านการวางแผนและจัดสรร  ในปี 2005 เขาถูกเลื่อนตำแหน่งเป็นรองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไป  จนกระทั่งปี 2006 เขาก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Gymboree

ในปีนั้นเอง Matt ได้แจ้งกับคณะกรรมการบริษัทว่า เขาเชื่อว่าธุรกิจเสื้อผ้าของ Gymboree จะสามารถเพิ่มยอดขายได้เป็นสองเท่าภายในระยะเวลาสองสามปี  ปรากฏว่าเขาไม่สามารถทำได้ตามสัญญาสองสามปี เพราะ Gymboree สามารถเพิ่มยอดขายได้สองเท่าภายในระยะเวลาเพียงปีเดียว  เหตุผลหลักที่ Matt ประสบความสำเร็จภายในระยะเวลาอันสั้นนั้นมาจากปรัชญาในการทำงานที่เขาเรียกว่า “Mission Impossible” หรือปฏิบัติการที่เป็นไปไม่ได้  โดยปกติ บริษัทมักจะมีการตั้งเป้าในการเพิ่มยอดขายประมาณ 5-10% แต่สำหรับ Matt เขาเชื่อว่าถ้าจะสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ จะต้องมาจากการตั้งเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่เช่นเดียวกัน  ดังนั้น เขาจึงกล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นทีมไหน แผนกไหน หรือใคร ก็ควรจะต้องตั้งเป้าหมายที่ไม่สามารถที่จะทำได้  ด้วยปรัชญาความคิดเช่นนี้ Matt ทำการล้างสมองพนักงานของ Gymboree ให้เชื่อหนทางของเขา  ถึงแม้ว่า Gymboree จะเป็นธุรกิจที่จัดตั้งมาแล้วกว่า 30 ปี ปรัชญาของ Matt ได้ทำให้ Gymboree สามารถมีอัตราการเติบโตด้วยเลขสองหลักซึ่งไม่ใช่เรื่องธรรมดาสำหรับบริษัทที่มีอายุขนาดนี้

จากความสำเร็จของ Matt ทำให้ Mission Impossible ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในกรณีศึกษาในหนังสือชื่อ “Fire Them Up!” ของ Carmine Gallo  หนังสือเล่มนี้พูดถึงเคล็ดลับง่ายๆในการสร้างทักษะในการสื่อสารด้วยตัวอย่างจากทั้งองค์กรทางธุรกิจและองค์กรไม่หวังผลกำไร  Carmine Gallo ได้ Matt จากความเชื่อเรื่อง Mission Impossible ที่ Matt สามารถพลิกฟื้นธุรกิจเสื้อผ้าเด็ก Gymboree ให้กลางเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกได้ ในขณะที่ธุรกิจค้าปลีกส่วนใหญ่กำลังประสบปัญหายอดขายลดลง

แนวความคิด Mission Impossible นี้ไม่ได้ใช้กับเฉพาะธุรกิจเสื้อผ้าของ Gymboree แม้แต่หน่วยงานกิจกรรม Gymboree Play & Music ก็ได้นำแนวความคิดนี้มาใช้เช่นเดียวกัน  นี่คือสาเหตุที่เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสองสามปีที่ผ่านมา   และเราก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นอีก  Gymboree ได้วางแผนที่จะปรับปรุงกิจกรรมต่างๆ และเปลี่ยนวิธีที่เราพูดคุยกับลูกค้า  ในระดับนานาชาติแล้ว คงไม่มีเวลาไหนที่จะดีกับ Gymboree ที่จะขยายมากกว่าปัจจุบัน  ซึ่งในสองสามปีที่ได้นำมาใช้ทำให้สาขาของ Gymboree ในประเทศต่างๆ เพิ่มมากกว่าสาขาในสหรัฐอเมริกา  เช่น Gymboree ที่จีนคาดว่าจะมีสาขา 200 สาขาภายในสิ้นปีนี้ นอกจากนี้ Gymboree ได้ทำการเิปิดทำการในอินเดีย กรีก และเวียดนาม  จึงเป็นไปได้อย่างมากว่าภายในเวลาอีกไม่กี่ปีนี้ อาจจะมีสาขาของ Gymboree ในเอเชียมากกว่าสาขาในสหรัฐอเมริกาเสียอีก

ดังนั้น จึงต้องขอขอบคุณ Matt McCauley กับปรัชญา “Mission Impossible” ซึ่ง Gymboree ประเทศไทยก็กำลังนำมาใช้ด้วยเช่นกัน  เราหวังว่าด้วยปรัชญานี้ เราจะสามารถปรับปรุงการดำเนินงานของเรา ซึ่งแน่นอนที่สุดคือการทำให้เราสามารถให้บริการลูกค้าได้ดีขึ้นนั่นเอง

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

10 สิ่งที่เรายังไม่เข้าใจเกี่ยวกับลูก ๆ ของเรา


AttributionNoncommercialShare Alike Some rights reserved by bespoke

10 สิ่งที่เรายังไม่เข้าใจเกี่ยวกับลูก ๆ ของเรา 
เขียนโดย  แจน ฮันท์
แปลโดย แม่แอน 

1.  เราคาดหวังว่าลูก ๆ จะสามารถทำในสิ่งที่เขายังไม่พร้อมจะทำ
                เราคาดหวังให้ทารกไม่ร้องไห้  เราต้องการให้ลูกวัยสองขวบนั่งนิ่งอยู่กับที่  เราร้องขอให้เด็กวัยสี่ขวบทำความสะอาดห้องนอนของตัวเอง  และในสถานการณ์เหล่านี้ เรากำลังเพิกเฉยต่อความเป็นจริง  เรากำลังสร้างเงื่อนไขที่มีแต่จะนำไปสู่ความผิดหวัง และทำให้ลูกต้องเผชิญกับความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าเพียงเพื่อที่จะทำให้พ่อแม่พอใจ  ถึงกระนั้นก็ยังมีพ่อแม่จำนวนมากมายที่คาดหวังให้ลูก ๆ ของพวกเขาทำในสิ่งที่แม้แต่เด็กที่โตกว่าก็ยังทำได้ยาก  หรือจะพูดง่าย ๆ ก็คือ  เรากำลังร้องขอให้เด็ก ๆ เลิกทำในสิ่งที่เป็นธรรมชาติตามวัยของพวกเขา

2.  เราโกรธเมื่อเด็กไม่สามารถทำในสิ่งที่เราต้องการ
                เด็กก็ทำได้แค่ในวิสัยเท่าที่เขาพึงจะทำได้  ถ้าเด็กไม่สามารถทำตามในสิ่งที่เราร้องขอ  การคาดหวังให้เด็กต้องทำให้ได้ ถือเป็นความไม่ยุติธรรมและไม่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง และการมีอารมณ์โกรธเพียงเพราะสาเหตุนี้มีแต่จะทำให้ทุกอย่างแย่ลง  เด็กวัยสองขวบก็คงจะทำได้แค่เท่าที่เด็กสองขวบจะทำได้  เด็กห้าขวบก็ไม่สามารถจะทำตัวให้เหมือนเด็กสิบขวบได้  และเด็กสิบขวบก็ไม่มีวันจะทำตัวให้เหมือนผู้ใหญ่ได้  การคาดหวังที่นอกเหนือจากนี้นอกจากจะเป็นเรื่องเพ้อฝันแล้วยังไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นอีกด้วย  เด็กมีขีดจำกัดในความสามารถของเขา และหากเราไม่เคารพขีดจำกัดนั้นก็มีแต่จะก่อให้เกิดความขุ่นข้องใจแก่ทั้งสองฝ่าย

3. เราไม่เชื่อใจในสาเหตุเบื้องหลังการกระทำของลูก
                หากลูกไม่ทำในสิ่งที่เราต้องการ  เราก็มักจะสรุปเอาเองว่าลูกดื้อ โดยที่ไม่ได้มองให้ชัดจากมุมมองของลูกก่อนที่จะตัดสินความจริงเบื้องหลังการกระทำนั้น ๆ  ในความเป็นจริง “เด็กดื้อ” คนนั้น อาจจะกำลังไม่สบาย  ง่วงนอน  หิว  เจ็บ หรือกำลังแสดงออกเพื่อตอบสนองต่อความเจ็บปวดทางกายหรือทางจิตใจที่เขาเผชิญ หรือแม่แต่กำลังพยายามต่อสู้กับสาเหตุอื่นที่เราไม่ทราบ เช่น ภาวะแพ้อาหาร เป็นต้น  กระนั้นเราก็ยังพยายามที่จะเพิกเฉยต่อความเป็นไปได้เหล่านี้เพียงเพราะเราอยากจะเชื่อในสาเหตุที่เลวร้ายที่สุดที่ทำให้เด็กมีพฤติกรรมเช่นนั้น

4. เราไม่ยอมให้เด็กได้เป็นเด็ก
                เราหลงลืมไปว่าเราเป็นอย่างไรตอนเราเป็นเด็ก และคาดหวังให้เด็ก ๆ ของเราทำตัวให้เหมือนผู้ใหญ่แทนที่จะยอมรับเขาในการกระทำตามวัยของเขา  เด็กตามธรรมชาติจะต้องส่งเสียงดังอึกทึก  เก็บอารมณ์ไม่อยู่  และมีช่วงความสนใจสั้น  สิ่งต่าง ๆ ที่เราคิดว่าเป็น “ปัญหา” เหล่านี้ แท้จริงแล้วไม่ใช่ปัญหาเลยสักนิด  หากแต่เป็นคุณสมบัติตามธรรมชาติของเด็กปกติ  ในทางตรงกันข้าม สังคมของเราที่คาดหวังพฤติกรรมสมบูรณ์แบบนั่นต่างหากเล่าที่เป็นสิ่งที่ไม่ปกติ

5. เราเข้าใจกลับกันไปหมด
                เราคาดหวังให้เด็กให้ในสิ่งที่เราต้องการ เราต้องการความเงียบสงบ  ต้องการนอนหลับในตอนกลางคืนที่ไม่ถูกลูกตื่นขึ้นมารบกวน  ต้องการการเชื่อฟังและอยู่ในโอวาท และอื่น ๆ อีกมากมาย  แทนที่จะยอมรับในบทบาทหน้าที่ของตนเองในฐานะพ่อแม่และพยายามตอบสนองในความต้องการของลูก เรากลับเรียกร้องให้ลูกต้องมาแบกรับภาระตอบสนองต่อสิ่งที่เราต้องการ  บางครั้งเราก็จดจ่ออยู่กับแค่ความต้องการของตนเองและไม่พอใจเมื่อลูกไม่ตอบสนองต่อความต้องการนั้นจนกระทั่งหลงลืมไปว่าลูกก็เป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่งที่มีความต้องการของตัวเขาเองเช่นกัน

6. เราตำหนิและวิจารณ์ในยามที่ลูกทำผิด 
                ลูกมีประสบการณ์ชีวิตที่น้อยเหลือเกิน  และแน่นอนว่าเขาจะต้องทำผิดพลาดบ้าง  ความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ไม่ว่าเราจะอยู่ในวัยใดก็ตาม  แต่แทนที่เราจะเข้าใจและช่วยเหลือเขา  เรากลับตำหนิราวกับว่าเด็ก ๆ ควรจะต้องเรียนรู้ที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ให้สำเร็จสมบูรณ์แบบได้ในครั้งแรก  การทำความผิดพลาดถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์  การทำความผิดพลาดในวัยเด็กยิ่งถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาและหลีกเลี่ยงไม่ได้เสียด้วยซ้ำ  กระนั้น เราก็ยังปฏิบัติต่อการทำความผิดพลาดและการฝ่าฝืนกฏราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจและชวนผิดหวังยิ่งนัก  มันช่างไร้เหตุผลหากเราจะบอกว่าเราเข้าใจดีว่าเด็ก ๆ จะต้องทำเรื่องผิดพลาดบ้าง ในขณะที่เราก็ยังคิดว่าเด็ก ๆ ก็ควรจะมีความประพฤติที่สมบูรณ์แบบอยู่ตลอดเวลา

7. เราหลงลืมไปว่าคำตำหนิและวิจารณ์นั้นทำร้ายจิตใจเด็กได้มากเพียงใด
พ่อแม่จำนวนมากมายเข้าใจดีว่าการตีหรือการทำร้ายลูกทางกายนั้นเป็นสิ่งไม่ดีและทำให้ลูกเจ็บปวด  แต่เราทั้งหลายก็ยังคงลืมไปว่าคำพูดที่เต็มไปด้วยโทสะ การพูดจาดูถูก แดกดัน และคำตำหนินั้นสามารถทำร้ายจิตใจให้ลูกเจ็บปวดได้มากเพียงใด โดยเฉพาะกับเด็กที่เชื่อว่าทุกอย่างย่อมเป็นความผิดของเขาเองอยู่แล้ว

8. เราหลงลืมไปว่าการแสดงออกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักมีอำนาจเยียวยาได้มากเพียงใด
พ่อแม่จำนวนมากหลงเข้าไปอยู่ในวงจรอุบาทว์ของการตำหนิเมื่อพฤติกรรมแย่  แทนที่จะหยุดสักนิดเพื่อให้ความรัก ให้ความมั่นใจ ให้ความภาคภูมิใจ และความมั่นคงปลอดภัยแก่ลูกน้อยด้วยการกอดและคำพูดอันอ่อนโยน

9. เราลืมไปว่าการกระทำของเราคือคำสอนที่ดีที่สุดสำหรับลูก
                ความจริงแล้วสิ่งที่ลูกจะจดจำขึ้นใจหาใช่สิ่งที่เราพร่ำสอนไม่ หากแต่เป็นสิ่งที่เราทำเป็นตัวอย่าง  พ่อแม่ที่ทำโทษลูกด้วยการตีเพราะลูกตีผู้อื่นแล้วพร่ำสอนลูกว่าการตีนั้นเป็นสิ่งไม่ดี  แท้ที่จริงแล้วกำลังสอนให้ลูกเชื่อว่าการตีเป็นสิ่งที่ถูกต้อง หรืออย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องและทำได้สำหรับผู้ที่มีอำนาจ  พ่อแม่ที่รับมือกับปัญหาต่าง ๆ ด้วยท่าทีที่สงบต่างหากเล่าจึงจะสั่งสอนให้ลูกโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่รักสงบ  ปัญหาต่าง ๆ ล้วนเปิดโอกาสให้เราได้สอนคุณค่าให้กับลูกของเรา เพราะเด็ก ๆ สามารถเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่อพวกเขาได้เผชิญกับมันในชีวิตจริง

10. เรามองเห็นเฉพาะพฤติกรรมภายนอกของลูก แทนที่จะเป็นความรักและความตั้งใจดีที่อยู่ภายใน
                เมื่อลูกมีพฤติกรรมที่แย่ ในฐานะพ่อแม่เหนือสิ่งอื่นใดเราควรที่จะ ”มองลูกในแง่ดีที่สุด” ไว้ก่อน  เราควรจะเชื่อมั่นว่าลูกมีความตั้งใจที่ดีและพยายามประพฤติตัวดีที่เท่าที่เขาจะสามารถทำได้แล้วในสถานการณ์นั้น ๆ (ที่อาจเห็นได้ชัดหรือไม่ก็ตาม) ด้วยระดับประสบการณ์ชีวิตที่เขามีอยู่  เมื่อเรามองลูกในแง่ดีเสมอแล้ว ลูกก็จะเป็นอิสระที่จะทำในสิ่งที่ดี หากเราให้แต่ความรัก  เราก็จะได้รับแต่ความรักตอบกลับมาเช่นกัน

วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ใครว่าสองขวบแล้วจะดื้อ


ใครว่าสองขวบแล้วจะดื้อ
โดย อลิซาเบ็ท เบิร์จ
        เมื่อเจ้าตัวน้อยอายุย่างเข้าสองขวบ เรามักจะได้ยินเสียงบ่นจากผู้ปกครองว่าเป็นวัยอันตราย แต่จริงๆแล้ว เจ้าตัวน้อยอาจจะไม่ได้แย่อย่างที่เราคิดกัน
เป็นที่รู้กันในหมู่คุณพ่อคุณแม่ให้ระวังลูกเมื่ออายุ 2 ปี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอารมณ์เสีย ปฏิเสธทุกเรื่อง บ่นตลอด จนได้รับการขนานนามว่า หนูน้อยสองขวบเจ้าปัญหา  แต่ถ้าคุณลองพิจารณาอีกด้านของเหรียญ คุณจะได้พบว่า เจ้าตัวน้อยวัยสองขวบนี่ช่างยอดเยี่ยมเสียนี่กระำไร
Peggy Shecket ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กจากเมือง Columbus รัฐ Ohio บอกว่า ช่วงอายุเป็นช่วงที่เด็กกำลังเติบโตจากทารกเป็นเด็กน้อยที่มีความคิด และความตั้งใจของตนเอง ซึ่งคุณสมบัติทั้งสองนี้แหละที่ทำให้หนูน้อยวัยสองปีมีอารมณ์ที่ดูจะหุนหัน  แต่จริงๆแล้ว เจ้าตัวน้อยของเราเพียงแต่ต้องการจะศึกษาว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกนี้ และจะมีส่วนร่วมได้อย่างไร  ซึ่งนั่นแหละคือสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรจะฉลองกัน  ดังนั้น ลองมาดูเหตุผลห้าข้อว่าทำไมเราถึงคิดว่าวัยสองขวบคือช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยม
เจ้าตัวน้อยเรียนรู้ที่จะรัก
        ใครจะไปนึกว่า เจ้าตัวน้อยซึ่งคุณต้องคอยดูแลตลอดวันและคืนก็เป็นห่วงเป็นในคุณด้วยเหมือนกัน  หนูน้อย Erin Cummings วัยสองปีครึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีเมื่อถามคุณแม่ว่า เป็นยังไงบ้าง เพราะคุณแม่ให้ข้างบ้านช่วยดูแลเธอในขณะที่เธอไปหาหมอ และหนูน้อยก็ใส่ใจที่จะถามว่าคุณแม่เป็นอย่างไร ซึ่งเมื่อแปดเดือนที่แล้ว สิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นเลย
ด็อกเตอร์ Victoria Youcha ผู้เชี่ยวชาญพัฒนาการเด็กจาก Zero to Three องค์กรเอกชนใน Washington D.C. ซึ่งสนับสนุนสุขภาพเด็กเล็ก บอกว่า เด็กๆสองขวบกำัลังพัฒนาความเป็นตัวของตนเอง เริ่มที่จะรู้จักกับความรู้สึกของตน ซึ่งจะนำไปสู่ความสามารถในการรับรู้ว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไร
Meri Wallace นักบำบัดเด็กและครอบครัวของ Heights Center for Adult and Child Development ในเมือง Brooklyn กล่าวว่า ความสามารถในการเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นนี้เป็นพฤติกรรมที่เรียนรู้ได้ เด็กๆแสดงความรู้สึกออกมาตามประสบการณ์ที่ตนเคยพบ  ดังนั้น ถ้าหนูน้อยของคุณแสดงว่ารับรู้ความรู้สึกของผู้้อื่นได้ นั่นย่อมแปลว่า คุณเป็นตัวอย่างที่ดีนั่นเอง
AttributionNo Derivative Works Some rights reserved by andrewardjanny
หนูน้อยชอบแสดงออก
        คุณไม่ต้องกังวลอีกแล้วว่าเจ้าตัวน้อยคิดยังไงกับอาหารจานเด็ดที่คุณทำ  หนูน้อยวัยสองขวบอยู่ในวัยที่มาพร้อมกับความเห็นนานาประการ และมีทักษะทางภาษาที่จะอธิบายให้คุณรับรู้  เด็กส่วนใหญ่เมื่ออายุได้สองปีจะเรียนรู้ศัพท์ได้ประมาณ 300 คำ  ดร. Andrew Meltzoff ผู้เชี่ยวชาญพัฒนาการเด็กจาก University of Washington ในเมือง Seattle บอกว่า พอครบปีที่สอง เด็กๆสามารถใช้ประโยคความยาวประมาณ 3- 5 คำได้
คุณแม่ Kristine Brown จาก San Juan Island รัฐ Washington บอกว่า ตอนที่ Carson เป็นเด็กๆ การทานอาหารก็เหมือนกับว่าเราเพียงแต่ยัดอาหารเข้าปาก แต่พอเขาอายุได้ 2 ปี เขาจะบอกเราว่า เขาอยากจะทานอาหาร ซึ่งก็รวมไปถึงความคิดเรื่องอื่นๆด้วย
หนูน้อยอยากจะช่วยนะ
        บางที คุณก็อยากจะได้ใครสักคนมาช่วยงานบ้าน  ถ้าคุณโชคดี หนูน้อยสองขวบนี่แหละจะช่วยคุณได้ คุณหมอ Owen Lewis จาก Children’s Mental Health Alliance ในมหานครนิวยอร์ค กล่าวว่า หนูน้อยวัยสองปีนี่แหละชอบที่จะเลียนแบบพ่อแม่ แต่อยากจะเอาใจคุณพ่อคุณแม่
นอกจากนี้ วัยสองปียังเป็นช่วงที่เด็กเริ่มมีทักษะทางการเคลื่อนที่และการเรียนรู้ที่มากพอที่จะช่วยงานง่ายๆได้ เช่น การเก็บถุงเท้าใส่ในเครื่องซักผ้า
แต่เชื่อมั้ยล่ะว่าบางครั้ง เด็กๆก็มีความสามารถเกินกว่าที่คุณพ่อคุณแม่คาดคิด คุณแม่ Kristine Brown เล่าให้ฟังว่า วันหนึ่ง ฉันไปหลังบ้านพร้อม Carson แต่ฉันล้มและเหยียบอะไรบางอย่าง ในขณะที่สามีก็อยู่ในบ้านและไม่ได้ยินเสียงฉันเรียก ฉันจึงบอก Carson ให้เข้าไปในบ้าน และเรียกคุณพ่อมาช่วย
เจ้าตัวน้อยวิ่งจากสวนหลังบ้านเข้าไปในบ้าน เรียกคุณพ่อ ซึ่งรีบวิ่งมาพาคุณแม่ไปโรงพยาบาล  Kristine บอกว่า ถ้า Cason ไม่อยู่และวิ่งไปบอกคุณพ่อ ฉันคงรออยู่ตรงนั้นอยู่อีกหลายชั่วโมง  ดังนั้น ครั้งต่อไปที่เจ้าตัวน้อยบอกว่าขอช่วยงาน ซึ่งคุณอาจจะคิดว่ามันวุ่นวาย แต่ถ้าคุณไม่ลอง คุณจะไม่รู้เลยว่าเจ้าตัวน้อยก็ช่วยงานได้เหมือนกัน


AttributionNoncommercial Some rights reserved by lambchops


หนูน้อยอยู่เพื่อเรียนรู้
        Jackie Cummings บอกว่า ตอนที่ Erin ยังเป็นทารก เธอชอบหนังสือ Goodnight Moon วันหนึ่ง เธอทำให้ฉันตกใจเมื่อเธอชี้ไปที่หนังสือ Running Bunny ซึ่งเป็นภาพที่อยู่ในหนังสือของ Margaret Wise Brown อีกเล่มหนึ่งที่อยู่ในหนังสือ Goodnight Moon นั่นแสดงให้เห็นว่า เธอช่างสังเกต และเรียนรู้ได้เร็วจริงๆ
หนูน้อยวัยสองขวบนั้นกระหายที่จะเรียนรู้  และมีความสามารถที่จะรองรับความรู้ด้วย Clare Winer ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กจาก Hope Children’s Hospital บอกว่า เด็กๆสามารถเรียนรู้ได้เหมือนกับฟองน้ำ  เด็กๆชอบที่เรียนรู้ว่าโลกทำงานอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณพ่อคุณแม่เ็ป็นคนสอน  ดังนั้น คุณไม่ต้องกังวลเรื่องประสบการณ์การเรียนรู้ที่เป็นทางการ เพราะในวันนี้ ทุกอย่างรอบๆตัวเป็นสิ่งที่สอนได้ทั้งนั้น
หนูน้อยมีความเป็นตัวของตนเอง
        การที่คุณเบื่อที่จะคอยบอกไม่ให้เจ้าตัวน้อยใส่รองเท้าแตะไปในหิมะ ก็คือสิ่งเดียวกันที่จุดประกายเด็กๆให้มีความคิดเป็นของตนเอง  ดร. Jack L. Herman นักจิตวิทยาเด็กจาก Pace University ในมหานครนิวยอร์ค บอกว่า เด็กๆเริ่มแสดงความชอบส่วนตัว และสามารถที่จะพูดบอกว่าเขาต้องการอะไร คุณแม่ Rosemarie Moeller จากเมือง Lexington รัฐ Massachusetts บอกว่า Jonathan วัย 26 เดือนสามารถช่วยเลือกอาหารมื้อเย็นได้จากการที่คุณแม่คุณลูกค่อยๆเปิดดูหน้ังสือทำครัวที่มีรูปภาพ  และใครจะไปรู้ว่า สักวัน เขาคงอยากจะทำกับข้าวด้วยตนเอง

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ทำไมเจ้าหนูเตาะแตะจึงชอบขว้างสิ่งของ


ทำไมเจ้าหนูเตาะแตะจึงชอบขว้างสิ่งของ
        เด็กอายุตั้งแต่ 18 เดือนถึง 3 ปี มักจะชอบขว้างสิ่งของซึ่งเป็นทักษะใหม่ที่น่าสนุกสำหรับเจ้าตัวน้อย การขว้างสิ่งของต้องใช้ทักษะด้านกล้ามเนื้อมัดเล็กในการกางนิ้วออกและปล่อยวัตถุออกมา และอย่าลืม การฝึกทักษะในการประสานกันของมือและตาในการเล็งไปยังเป้าหมาย  มิน่าล่ะ เจ้าตัวน้อยของคุณจึงชอบฝึกซ้อมทักษะที่น่าตื่นเต้นนี้  สิ่งที่ตามมา ก็คือ การเรียนรู้ เพราะเจ้าตัวน้อยคงพบว่าเมื่อขว้างสิ่งของแล้วสิ่งของก็จะตกลง ไม่ใช่ลอยขึ้นมา ทั้งๆที่เจ้าหนูไม่รู้จักคำว่า แรงโน้มถ่วง  แต่เจ้าหนูก็สามารถสังเกตเห็นผลของมันได้  ในขณะเดียวกัน ถ้าเจ้าหนูโยนลูกบอลก็เห็นว่ามันเด้งขึ้นมาได้ แต่ถ้าโยนผลไม้ลงกับพื้น มันกลับแตกอยู่ที่พื้น  สำหรับคุณ ก็คงต้องเหนื่อยเพราะเจ้าตัวน้อยโยนอาหารลงไปที่พื้น ให้คุณต้องคอยกวาดถูในทุกมื้อ แต่สำหรับเจ้าตัวน้อย เขากำลังสนุกอยู่นั่นเอง

แล้วคุณจะทำอย่างไรกับการขว้างสิ่งของ

Dr. Roni Leiderman ผู้ช่วยคณบดีศูนย์ครอบครัวของ Nova Southeastern University ใน Fort Lauderdale, Florida กล่าวว่า ถ้าเจ้าตัวน้อยของคุณไม่ได้ขว้างก้อนหินใส่กระจก หรือทำให้ใครต้องบาดเจ็บ ไม่จำเป็นต้องทำโทษเด็กจากการขว้างสิ่งของ และเป็นการไร้ประโยชน์ที่จะพยายามหยุดไม่ให้เด็กๆ ขว้างสิ่งของในอายุนี้  สิ่งที่พึงกระทำคือจำกัดสิ่งที่เด็กจะขว้าง และสอนให้รู้ว่าขว้างไปที่ไหนได้

สอนให้เด็กรู้ว่าจะขว้างอะไรได้บ้าง  เจ้าตัวน้อยของคุณจะเรียนรู้ได้ว่าขว้างอะไรไม่ได้เร็วกว่าถ้ามีอะไรให้เธอขว้างมากกว่า และยังได้รับการสนับสนุนให้ขว้างด้วย  แน่นอน ลูกบอลก็ควรจะเป็นสิ่งที่อนุญาตให้ขว้างได้ ซึ่งคุณควรจะมีลูกบอลโฟมไว้เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุใดๆ  เด็กๆยังชอบเกมขว้างเช่นการโยนถุงถั่วไปในตะกร้า โดยเฉพาะถ้าคุณเล่นกับเขา  สิ่งที่คุณต้องการจะให้เขาเข้าใจคือ การขว้างสิ่งของนั้นทำได้ถ้าเด็กๆขว้างสิ่งที่ขว้างได้ไปยังที่ๆควรขว้างในเวลาที่ควรขว้าง  ถ้าเด็กขว้างบางอย่างที่ไม่เหมาะสม เช่น รองเท้า ก็ค่อยๆเอารองเท้าออกมา และบอกกับเด็กว่า รองเท้าไม่ได้มีไว้ขว้าง แต่ลูกบอลมีไว้ขว้าง พร้อมกับเอาลูกบอลให้เด็กเล่น  Dr. Leiderman กล่าว

ไม่สนับสนุนการขว้างที่ก้าวร้าว  คุณควรจะทำอย่างไรเมื่อเจ้าตัวน้อยของคุณขว้างของที่ไม่ควรจะขว้าง เช่น หยิบทรายในกะบะทรายแล้่วโยนออกไป หรือ ขว้างบล็อกใส่เพื่อน  คุณจะต้องพยายามไม่สนใจในสองสามครั้งแรกที่เกิดขึ้น ถ้าเด็กรู้ว่าสามารถเรียกร้องความสนใจได้ถ้าขว้างของที่ไม่ควรจะขว้าง เด็กก็จะทำพฤติกรรมนั้นอีก

ถ้าลูกของคุณเกือบจะทำให้เด็กคนอื่นบาดเจ็บด้วยการขว้างของใส่ คุณจะต้องทำเช่นเดียวกัน เพราะเด็กจะเรียนรู้จากการทำซ้ำ  ถ้าเจ้าตัวน้อยทำอีก ก็ให้บอกว่า ไม่นะ ทำอย่างนั้นแล้วเจ็บ  แล้วพาเจ้าตัวน้อยออกมา “time out” และค่อยพาหนูน้อยออกไปจากสถานการณ์นั้นเพื่อให้เจ้าตัวน้อยไปเริ่มทำอย่่างอื่นแทน  กุญแจสำคัญคือ ให้ time out ไม่เกินหนึ่งนาที (สำหรับอายุขนาดนี้ ประมาณ 30 วินาทีก็พอ) เพื่อให้เด็กไม่ลืมในสิ่งที่เธอทำแล้วถูกสั่งให้หยุดทำ  ถ้าคุณสังเกตเห็นว่าเจ้าตัวน้อยขว้างของใส่เด็กคนอื่นเวลาที่โกรธ คุณต้องสนับสนุนให้เปลี่ยนเป็นการแสดงออกทางคำพูดแทน เช่น ถ้าหนูโกรธ Emily หนูพูดซิคะ หรือ หนูมาบอกแม่นะเวลาที่หนูโมโห  คุณยังสามารถที่จะให้ลูกรู้ว่าคุณไม่พอใจในพฤติกรรมนั้นๆได้ด้วยน้ำเสียงของคุณ แต่อย่าให้ความโมโหของคุณเป็นตัวกำหนดล่ะ พยายามไม่ตะโกนใส่ลูก และไม่ตีเด็ก แม้แต่ตีมือ เพียงเพราะคุณต้องการหยุดไม่ให้ลูกขว้างของ

ถ้าลูกยังคงขว้างของในลักษณะที่น่าทำให้มีคนเจ็บ แม้ว่าคุณพยายามที่จะทำให้เจ้าตัวน้อยสงบแล้ว คุณอาจจะไม่มีทางเลือกนอกจากต้องคอยดูอยู่ตลอดเวลา เรียกว่าเป็นเงาตลอดเวลาที่เจ้าตัวน้อยเล่นของเล่น

ผูกของเล่นไว้กับเก้าอี้  เวลาที่เจ้าตัวน้อยนั่งในรถเข็นเด็กหรือเบาะในรถ ลองผูกของเล่นไว้ให้ถือได้ (ใช้สายสั้นๆ ที่จะไม่ยาวเกินไปจนอาจจะไปรัดคอเด็กได้) เด็กจะพบว่านอกจากขว้างของได้แล้ว เจ้าตัวน้อยยังจะดึงมันกลับมาได้ด้วย วิธีนี้ช่วยเพิ่มความสนุกและลดภาระของคุณที่ต้องคอยเก็บอีกด้วย

ช่วยกันเก็บของ  อย่าคิดแต่เพียงจะบอกให้เจ้าตัวน้อยเก็บของที่เพิ่งโยนออกไป Dr. Liederman กล่าวว่า มันเป็นงานที่มากเกินไปสำหรับเด็กอายุเพียงนี้  แต่ให้คุณคุกเข่าลง และช่วยลูกในทำนองที่ว่า ลองมาดูกันซิว่า เราจะช่วยกันเก็บบล็อกได้เร็วแค่ไหน หรือ หนูจะ่ช่วยแม่หา M&M สีเหลืองได้มั้ย

AttributionNoncommercialNo Derivative Works Some rights reserved by Etolane
สร้างตัวอย่างที่ีดี  คุณไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการโยนหมอนบนโซฟาเพื่อจะเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับลูก  คุณยังโยนสิ่งต่างๆ ได้เพื่อทำให้เจ้าตัวน้อยเห็นว่าอะไรที่โยนได้ และอะไรที่โยนไม่ได้  เมื่อไรก็ตามที่ลูกของคุณขว้่างของที่ไม่ควรจะขว้าง คุณก็พาทัวร์รอบๆบ้านด้วยการโยนถุงเท้าใส่ตะกร้า โยนกระดาษใส่ถัง หรือของเล่นในกล่องของเล่น

นั่งกับเจ้าตัวน้อยขณะทานอาหาร  คุณสามารถหลีกเลี่ยงที่จะต้องเก็บกวาดการโยนอาหารได้ด้วยการนั่งกับเจ้าตัวน้อยในขณะทานอาหาร  ด้วยวิธีนี้ คุณสามารถที่จะบอกเจ้าตัวน้อยได้ทันทีไม่ให้ขว้างอาหารเมื่อเห็นเจ้าตัวน้อยพร้อมจะขว้างอาหารหรือคุณอาจจะจับจานวางลงถ้าจำเป็น Dr. Liederman บอกว่า ผู้ปกครองควรจะนั่งด้วยเวลาเด็กทานอาหารแล้วพูดคุยกับเด็ก เพื่อช่วยพัฒนาทักษะทางภาษา  นอกจากนี้ยังสามารถนั่งเพื่อคอยดูว่าเด็กเคี้ยวอาหารได้ละเอียดพอ ก่อนที่จะกลืนเพื่อกันการสำลักอาหารอีกด้วย

ใช้จานชามสำหรับเด็ก  Dr. Liederman กล่าวว่า อย่าใช้จานกระเบื้องดีๆ หรืออะไรที่แตกได้ในการป้อนอาหารเด็กเล็ก  ให้ใช้ถ้วยชามพลาสติกแบบที่มีจุกสูญญากาศที่จะไว้ยึดกับโต๊ะ ที่เด็กจะไม่สามารถยกจานขึ้นมาได้ แต่อย่าลืมว่าถ้วยแบบนี้จะใช้ได้ดีสำหรับเด็กที่จับแล้วปล่อย แต่คงไม่สามารถหยุดเด็กที่ยิ่งสนใจว่าทำไมจานถึงติดได้ และ จะยิ่งดึงให้แรงเพื่อให้หลุด

ใช้อาหารจำนวนน้อยๆ ถ้าคุณเตรียมอาหารเป็นสัดส่วนน้อยๆ แล้วค่อยๆเติมจะช่วยลดจำนวนอาหารที่ถูกขว้างทิ้งเพราะเจ้าตัวน้อยมีของให้ขว้างน้อยลง  Dr. Liederman บอกว่า อย่าผลักดันให้เด็กทานมากกว่าที่ต้องการ เว้นแต่ว่าหมอบอกว่าเด็กกำลังขาดอาหาร  เด็กส่วนใหญ่จะไม่เริ่มขว้างอาหารจนกว่าจะทานเสร็จ หรือ เริ่มเบื่อ  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเด็กจะทานมากน้อยเพียงไร การโยนอาหารเป็นสัญญาณหนึ่งที่บอกว่าเด็กอิ่มแล้ว และคุณก็นำเด็กออกจากโต๊ะอาหาร  

วันพุธที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

วิธีการป้องกัน : โรคลมแดด (ฮีทสโตรก)


cracking up  AttributionNo Derivative Works Some rights reserved by needoptic
วิธีการป้องกัน : โรคลมแดด (ฮีทสโตรก)
แพทย์หญิงอัญชนา สัจจพุทธวงศ์

กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาโรคระบบหายใจ และเวชบำบัดวิกฤต

ในช่วงอากาศร้อน สิ่งจำเป็นที่ทุกคนควรตระหนักถึงสัญญาณและอาการของโรคที่มากับอาการร้อน   
โรคลมแดด
โรคลมแดด เป็นอาการที่เกิดจากการที่ร่างกาย (โดยเฉพาะเด็ก)ได้รับความร้อนมากเกินไปจนทำให้อุณหภูมิของร่างกายเพิ่มสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส ในบางครั้งเด็กจะแสดงอาการเบื้องต้นได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน เมื่อยล้า อ่อนเพลีย มึนงง บางคนอาจแสดงอาการของโรคลมแดดอย่างกระทันหันโดยไม่มีอาการบ่งบอกแต่อย่างไร
สัญญาณสำคัญของโรคลมแดด (ฮีทสโตรก) ได้แก่
  • อุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้น
  • ไม่มีเหงื่อออก ผิวหนังร้อนและแห้ง
  • ชีพจรเต้นเร็ว
  • หายใจลำบาก
  • กระสับกระส่าย
  • ชัก เกร็ง

AttributionNoncommercialNo Derivative Works Some rights reserved by p!o
หากพบเจอผู้เป็นโรคลมแดดสามารถช่วยเหลือเบื้องต้นได้โดย
นำผู้มีอาการเข้าร่ม นอนราบ ยกเท้าสูงทั้งสองข้าง ถอดเสื้อผ้าออก ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบตามซอกตัว คอ รักแร้ เชิงกราน ศรีษะ ร่วมกับการใช้พัดลมเป่าระบายความร้อน
วิธีการป้องกันโรคลมแดด คือ
การปรับสภาพร่างกายเพื่อป้องกันอันตรายในช่วงที่มีอากาศร้อน ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดอาการภาวะขาดน้ำหรือทำกิจกรรมในที่ที่มีอากาศที่ร้อนจัดเกินไป
หากรู้ว่าทำกิจกรรมท่ามกลางสภาพอากาศร้อน ควรดื่มน้ำให้เพียงพอทั้งก่อนและหลังจากการเผชิญกับสภาพอากาศที่ร้อน หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และยาเสพย์ติด
ควรมีการหยุดพักเป็นระยะๆ เพื่อรักษาสมดุงของน้ำในร่างกาย สวมหมวกและใส่เสื้อผ้าที่มีสีอ่อน ไม่หนา น้ำหนักเบา และสามารถระบายความร้อนได้ดี


วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

จะกล่อมลูกน้อยหยุดร้องไห้...อย่างไรดี

not happy AttributionNoncommercialNo Derivative Works Some rights reserved by jippolito   

จะกล่อมลูกน้อยหยุดร้องไห้...อย่างไรดี 
กว่าจะทำให้ลูกน้อยคืนสู่ความสงบหลังจากร้องไห้งอแง ถือว่าเป็นเรื่องท้าทายอย่างมากสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ ด้วยความเข้าใจว่าเป็นปัญหาเฉพาะที่ยากในการแก้ไข และมีสาเหตุหลากหลายจึงกลายเป็นปัญหาที่น่ากังวลใจในช่วงแรก แต่ถ้าทำความเข้าใจมากขึ้นจะพบว่า เมื่อลูกน้อยรู้สึกสบายนั้น จะนำมาซึ่งความสุขอันยิ่งใหญ่ของการเป็นคุณพ่อคุณแม่เลยทีเดียว

ข้อจำกัดสำคัญของคุณพ่อคุณแม่คือ การที่ลูกน้อยร้องไห้งอแงนั้นเป็นเรื่องเหนือการควบคุม ซึ่งมีรายงานการวิจัยหนึ่ง เปิดเผยข้อมูลว่าเด็กทารกส่วนใหญ่จะค่อนข้างจุกจิก และมักแสดงอาการต่อต้านออกมามากกว่าวัยอื่น เพื่อผ่อนคลายความรู้สึกไม่สบายต่างๆ ที่มีอยู่ แต่อย่างไรก็ตามรายงานนี้จะต้องถูกนำไปศึกษาในเชิงลึกต่อไป

Profondo disappuntoAttributionNoncommercialNo Derivative Works 
Some rights reserved by Sergio Maistrello

โดยทั่วไปทารกน้อยมักจะหยุดร้องไห้ เมื่อความรู้สึกไม่สบายบางอย่างนั้นหมดไป หรือได้รับการแก้ไขที่ถูกต้อง โชคดีที่ว่าถึงแม้จะยังไม่พบสาเหตุแท้จริงของความรู้สึกไม่สบายนั้นก็ตาม แต่เด็กจะสงบขึ้นเมื่อถูกโยก หรือเขย่าตัวเบาๆ ทันที ส่วนข้อความด้านล่างคือ เคล็ดลับง่ายๆ ที่คุณพ่อคุณแม่สามารถนำไปใช้เพื่อสร้างความรู้สึกสบายให้แก่ลูกน้อย

·  Swaddling - ใช้ผ้าห่มนุ่มห่อตัวเด็กโดยที่ไม่แน่นจนเกินไป

·  Rhythmic Sounds - ให้ฟังเสียงต่างๆ เช่น เสียงหัวใจเต้น เสียงเข็มนาฬิกา เสียงเครื่องดูดฝุ่น รวมถึงเสียง     เครื่องซักผ้า
·  Rhythmic Movements การเคลื่อนไหวต่างๆ เช่นโยกตัวเด็ก จับนั่งบนรถเข็น หรืออุ้มไว้แนบอกแล้วแกว่งเบาๆ
·  Pacifiers เมื่อเด็กได้ลองดูดอะไรบางอย่างจะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายได้มาก ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่อาหารก็ตาม
·  Additional Warmth เพิ่มความอบอุ่นแก่เด็กด้วย ผ้าห่มหนาๆ หรือน้ำอุ่นใส่ขวดนม
·  Special Songs/Strokes/Gadgets อาจเลือกเพลงกล่อมเด็ก นวดกระตุ้นกล้ามเนื้อ หรือซื้อของเล่นที่มีลักษณะพิเศษ เพื่อสร้างความรู้สึกสบาย หรือดึงดูดความสนใจแก่เด็ก
·  Change of Environment ถ้าพาเด็กออกไปข้างนอก หรือเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง จะบรรเทาความรู้สึกไม่สบาย ซึ่งการได้เห็นทิวทัศน์อื่นๆ พร้อมกับให้ความอบอุ่นเพียงพอ จะทำให้เด็กเปลี่ยนอารมณ์ และความคิดง่ายขึ้น