วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

แค่ไหน เรียกว่าพัฒนาการช้า


แค่ไหน เรียกว่าพัฒนาการช้า


โดย: ดัชนี

ความก้าวหน้าของลูกเป็นความปลื้มปีติของพ่อแม่ แต่หากลูกไม่สามารถทำได้อย่างลูกคนอื่นเขา พ่อแม่ควรกังวลหรือไม่ 

ทุกครั้งที่เห็นเด็กวัยเดียวกับยายหนูของเรา อดไม่ได้ที่จะลอบสังเกตแล้วเปรียบเทียบกับลูกตัวเอง อย่างน้องโตโต้ข้างบ้านเนี่ยเกิดเดือนเดียวกับลูก ตอนนี้เขาทำท่าจะก้าวเดินแล้วด้วยซ้ำ คุณแม่น้องโตโต้บ่นว่าดูกันไม่ไหว เผลอทีไรเป็นได้ลุกขึ้นเกาะเดินไปทั่ว ไม่รู้ว่าเธอแกล้งบ่นอวดความก้าวหน้าของลูกหรือเปล่า..รู้สึกตาร้อนขึ้นมาตะหงิดๆ ดูยายหนูสิ ยังคลานกระต้วมกระเตี้ยมอยู่เลย แถมยังไม่ค่อยแอกทีฟเสียอีก จับวางตรงไหนก็นั่งจุมปุ๊กเล่นอยู่ตรงนั้นได้นานสองนาน ลูกเราผิดปกติหรือเปล่านะ?!..

นี่เป็นตัวอย่างความรู้สึกของคนเป็นพ่อแม่ที่คอยห่วงใยพัฒนาการของลูก อดไม่ได้ที่เอาลูกตัวเองไปเปรียบเทียบกับลูกคนอื่น ที่จริงเรื่องของพัฒนาการของเด็กแต่ละคนไม่ควรนำมาเปรียบเทียบกัน ผู้เชี่ยวชาญทางด้านพัฒนาการเด็กบอกอยู่บ่อยๆว่า เรื่องพัฒนาการเติบโตของเด็กแต่ละคนไม่ใช่เรื่องของการแข่งขัน เกณฑ์มาตรฐานที่ใช้ตรวจสอบพัฒนาการก็เป็นเพียงเกณฑ์คร่าวๆ เด็กแต่ละคนเกิดมาย่อมมีความแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายหลาก จะช้าหรือเร็วกว่ากันบ้างไม่ถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติแต่อย่างใด


แค่ไหนที่เรียกว่า"ช้า" 

พ่อแม่ส่วนใหญ่จะเพ่งเล็งไปที่ความก้าวหน้าทางพัฒนาการที่เห็นได้ชัด อย่างเช่น เมื่อไหร่ลูกจะนั่ง จะคลาน ยืน เดินได้ แต่คุณหมอทางด้านพัฒนาการทั้งหลายจะไม่ดูแค่นี้ คุณหมอจะให้ความสำคัญกับการรับรู้ของเด็กมากเสียยิ่งกว่าพัฒนาการทางร่างกาย คุณหมอจะดูว่าหนูจะยิ้มให้ผู้คนไหม มองตามสิ่งที่เคลื่อนไหวไหม หรือสนใจจดจำเสียงต่างๆได้บ้างไหม.. นี่แสดงว่าหนูรับรู้สิ่งแวดล้อมที่มากระทบ สามารถเชื่อมโยงสิ่งหรือเหตุการณ์ต่างๆ เข้าด้วยกัน และมีปฏิสัมพันธ์ตอบสนองได้

แต่คุณพ่อคุณแม่กลับไปกังวลเมื่อเห็นลูกทำอะไรไม่ได้เหมือนคนอื่นเขา ไม่ก้าวหน้าอย่างที่ตารางพัฒนาการบอกไว้ ที่จริงเป็นเรื่องแสนจะธรรมดาที่เด็กบางคนก้าวหน้าอย่างมากในบางเรื่องหรือล่าช้าในบางเรื่อง ไม่ได้เป็นสิ่งแสดงว่าหนูจะเป็นอัจฉริยะหรือฉลาดน้อยแต่อย่างใด

ผู้เชี่ยวชาญบางคนยังตั้งข้อสังเกตไว้ด้วยว่า ยิ่งเด็กก้าวหน้าอย่างมากในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษอาจจะทำให้การเรียนรู้เรื่องอื่นลดน้อยลงไปด้วยซ้ำ อย่างเช่น เด็กที่คลานเก่งๆ อาจจะเดินช้าเพราะเขาสามารถคลานไปไหนๆได้คล่องดังใจโดยไม่ต้องใช้ความพยายามที่จะเดิน เด็กบางคนที่ไม่ยอมคลานสักทีแต่เผลอแผล็บเดียวเดินเลยก็มี

เรื่องของพัฒนาการกว้างกว่าที่พ่อแม่ส่วนใหญ่รู้จักและเข้าใจ และช่วงเวลาในการก้าวข้ามพัฒนาการแต่ละอย่างเด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกันไปในช่วงเวลาที่แตกต่างกันถึง 6 เดือนก็เป็นได้ อย่างเช่น พัฒนาการทางภาษา เด็กสามารถเลียนเสียงพูดได้ อาจใช้เวลาตั้งแต่ 5-11 เดือน หรือสามารถเกาะยืนได้ในช่วง 6 เดือน-12 1/2เดือน

พ่อแม่ควรกังวลก็เมื่อลูกมีพัฒนาการช้ามากกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 6 เดือน เมื่อนั้นแหละควรไปปรึกษากุมารแพทย์ แต่เตือนตัวเองไว้ด้วยว่า การล่าช้าเรื่องใดเรื่องหนึ่งไม่ได้หมายความว่าควรสรุปว่าลูกเป็นเด็กพัฒนาการช้า



"ช้า"เพราะปัจจัยหลายหลาก มีคุณพ่อคุณแม่คู่หนึ่งกังวลว่าลูกน้อยวัยเตาะแตะอายุเกือบสองขวบแล้วไม่ยอมเดินสักที ทั้งๆที่พัฒนาการด้านอื่นๆก็ดีหมด คุณหมอตรวจแล้วพบว่าหนูน้อยมีปัญหาทางด้านสายตา เธอสายตาสั้นมาก เป็นการจำกัดการมองเห็นโลกรอบตัวเท่ากับขาดการกระตุ้นให้เธอออกเดินไปสำรวจโลกที่กว้างออกไป คุณหมอจัดการตัดแว่นให้เธอใส่ แล้วอีก 2-3 สัปดาห์ ต่อมาเธอก็เดินได้

นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ทำให้เห็นว่าเมื่อรู้สาเหตุที่ทำให้พัฒนาการลูกล่าช้าแล้ว ก็สามารถแก้ไขให้ลูกเป็นปกติได้ และเป็นตัวอย่างที่ทำให้เห็นสาเหตุซ่อนเร้นที่พ่อแม่อาจจะดูไม่รู้ด้วยตัวเอง แต่โดยทั่วไปแล้วปัจจัยที่มีผลกระทบต่อพัฒนาการเด็กที่ทำให้เด็กแต่ละคนมีก้าวขั้นพัฒนาการที่แตกต่างกันนั้นส่วนใหญ่ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไร เป็นสาเหตุใหญ่ๆที่พ่อแม่ควรคำนึงถึงดังนี้ค่ะ

ลูกสาวหรือลูกชาย ลูกเกิดมาเป็นหญิงหรือชายกำหนดพัฒนาการลูกให้แตกต่างตามเพศของลูกด้วย โดยทั่วไปลูกชายมักจะมีพัฒนาการทางด้านร่างกายเร็วกว่าลูกสาว อาจจะตัวโตกว่า คลาน ยืน เดินได้เร็วกว่า ในขณะเดียวกันลูกสาวก็จะมีทักษะทางภาษา พูดได้เร็วกว่าลูกชาย

พ่อแม่เป็นอย่างไร ลูกเป็นอย่างนั้นเรื่องกรรมพันธุ์ก็มีส่วนอย่างมากที่จะกำหนดรูปร่างลักษณะของลูก อย่างเช่นตัวโตแค่ไหน ฟันขึ้นเร็วหรือเปล่า ผมดกหรือผมบาง ลักษณะเหล่านี้แหละที่พ่อแม่มักจะเผลอนำไปเปรียบเทียบกับลูกคนอื่น โดยลืมไปว่าลูกเราย่อมถ่ายทอดลักษณะจากพ่อแม่ไป พ่อแม่ตัวเล็กลูกก็ย่อมตัวเล็กเป็นธรรมดา ตรงนี้เป็นปัจจัยที่ทำให้ลูกแตกต่างจากคนอื่นซึ่งพ่อแม่น่าจะ คิดถึงเป็นอย่างแรกๆ



สภาพร่างกาย ชีวสภาพหรือลักษณะทางกายของลูกก็มีผลต่อพัฒนาการของลูก เด็กที่อ้วนตุ้มต๊ะตุ้มตุ้ยมักจะไม่ค่อยคล่องแคล่วว่องไว เคลื่อนไหวร่างกายลำบาก เป็นอุปสรรคทำให้มีพัฒนาการการเคลื่อนไหวช้าได้ อาจจะคลาน ยืน เดิน ช้ากว่าเด็กอื่น หรือเด็กที่ขี้โรค เจ็บป่วยบ่อยๆ ก็ทำให้พัฒนาการล่าช้าได้เหมือนกัน บางครั้งอาจทำให้พัฒนาการถดถอยด้วยซ้ำ

ลักษณะนิสัยและสภาวะอารมณ์หนูน้อยแต่ละคนเกิดมาพร้อมมีลักษณะเฉพาะตัวติดตัวมาด้วย เด็กบางคนเกิดมาเป็นเด็กแอ็กทีฟ กระตือรือร้น บางคนก็สงบนิ่ง เด็กที่แอ็กทีฟกระตือร้นก็มักจะเคลื่อนไหวได้เร็วกว่า ในขณะที่เด็กที่ชอบเล่นคนเดียวเงียบๆอาจจะมีทักษะในการใช้มือก้าวหน้ากว่าเด็กที่ชอบเคลื่อนไหว มีสมาธิและเรียนรู้สิ่งต่างๆได้มากกว่า

อีกอย่างหนึ่งคือสภาพแวดล้อมที่ทำให้เด็กไม่มีความสุข ทำให้เด็กหงุดหงิด งอแง ง่าย ก็เป็นอุปสรรคสะกัดกั้นพัฒนาการของเด็กให้ช้ากว่าเด็กทั่วไปได้ เด็กขาดแรงจูงใจให้เรียนรู้ที่จะทำ จะฝึกทักษะต่างๆ
พ่อแม่เข้าใจเรื่องพัฒนาการแค่ไหนความเข้าใจในเรื่องพัฒนาการของพ่อแม่มีผลต่อพัฒนาการของลูก พ่อแม่ที่มีความรู้ในเรื่องพัฒนาการ รู้ว่าลูกวัยใดมีขั้นตอนการเติบโตทางพัฒนาการอย่างไร รู้จักวิธีกระตุ้นส่งเสริมพัฒนาการของลูกก็จะได้เปรียบอย่างยิ่ง เพราะจะสามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการก้าวหน้า และแก้ไขพัฒนาการด้านที่อ่อนด้อยของลูกให้ดีขึ้นได้ อย่างเช่นคุณแม่รู้ว่าการพูดคุยกับลูกบ่อยๆจะทำให้ลูกมีทักษะทางภาษา ก็จะพยายามพูดคุยกับลูกบ่อยๆแม้ว่าลูกยังเล็กแบเบาะอยู่ก็ตาม หรือถ้าเห็นลูกยังไม่ยอมคลานสักที ก็พยายามช่วยลูกด้วยการเอาของเล่นมาล่อให้ลูกพยายามเคลื่อนไหวไขว่คว้า ให้เวลาเล่นกับลูกมากขึ้น
เลี้ยงดูอย่างไร 
พ่อแม่ที่รักลูกดูแลลูกดีเกินไปก็อาจทำให้ลูกมีพัฒนาการล่าช้าได้เหมือนกัน อย่างเช่นพ่อแม่ที่คอยประคบประหงมปกป้องลูกมากเกินไป ไม่ยอมให้ลูกได้ลองทำอะไรด้วยตัวเอง เรียนรู้ความผิดพลาด หกล้มหกลุกด้วยตัวเองบ้าง เหมือนที่คนโบราณบอกว่าเมื่อไรที่ลูกเริ่มหัดพลิกตัว พ่อแม่อย่าช่วยพลิกให้ลูก ไม่เช่นนั้นจะต้องช่วยลูกตลอดไปทั้งชีวิต นับว่าคนโบราณพูดไม่ผิด เลยเตือนใจพ่อแม่รุ่นต่อไปไม่ให้รักลูกจนไม่ยอมให้ลูกช่วยเหลือตัวเอง 

ในทางตรงข้ามเด็กที่พ่อแม่ปล่อยปละละเลย ไม่ใส่ใจพูดคุย มีปฏิสัมพันธ์ด้วย เด็กก็จะมีพัฒนาการล่าช้าได้อีกเช่นกันค่ะ 

มีพี่น้องช่วยกระตุ้นพัฒนาการการที่มีลูกหลายคนหรือสองคนขึ้นไปมีส่วนช่วยกระตุ้นให้ลูกมีความก้าวหน้าทางพัฒนาการ ไม่ว่าจะด้วยเกิดบรรยากาศแข่งขันกลายๆ เช่น กลัวน้องแย่งของเล่นก็เป็นการกระตุ้นให้ลูกรีบลุกขึ้นไปหยิบของเล่น หรือว่าจากการเป็นเพื่อนเล่นกัน น้องได้เลียนแบบพี่ พี่สอนน้องให้เล่นและเรียนรู้เรื่องต่างๆ พี่น้องได้มีปฏิสัมพันธ์กัน ฝึกทักษะทางภาษาสังคม หรือบ้านที่พี่ป้าน้าอาอยู่ร่วมกันหลายคน ก็ช่วยกระตุ้นให้ลูกเรียนรู้มีพัฒนาการที่เร็วขึ้นได้ โดยเฉพาะพัฒนาการทางด้านภาษาจะเห็นได้ชัด เด็กที่มีคนเติบโตในบ้านที่มีญาติพี่น้องหลายคน และได้รับความสนใจพูดคุยด้วยบ่อยๆ ก็จะพูดได้เร็ว พูดเก่ง 

รู้อย่างนี้แล้วคงเลิกเปรียบเทียบลูกกับเด็กอื่นได้แล้วนะคะ แต่การเฝ้าดูลูกเติบโตยังเป็นเรื่องดีที่พ่อแม่ควรให้ความสำคัญ เพียงมีหลักคิดวิเคราะห์อย่างที่เสนอไปแล้วข้างต้น และพยายามหาต้นตอของปัญหา 

ขอฝากไว้ว่าต่อไปนี้เมื่อพูดถึงพัฒนาการของลูก ลองมองหาข้อดีของลูกเพื่อส่งเสริมให้ลูกทำได้ดียิ่งๆขึ้น และมองหาจุดอ่อนเพื่อช่วยปรับให้ลูกมีพัฒนาการที่ดีขึ้น ลูกจะ"ช้า "หรือ"เร็ว" พ่อแม่เท่านั้นค่ะที่จะช่วยลูกได้ 

หากไม่แน่ใจอย่างไรปรึกษากุมารแพทย์ที่คุณพาลูกไปตรวจร่างกาย หรือจะเจาะจงไปหาคุณหมอทางด้านพัฒนาการเด็กโดยเฉพาะก็ได้ โรงพยาบาลรัฐใหญ่ๆทุกแห่งมีคุณหมอผู้ เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กประจำอยู่ค่ะ 


ขอขอบคุณ 
นิตยสารModern mom
Mommypedia

วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

5 วิธีฝึกลูก หลับนานตลอดคืน


เมื่อมารับบทเป็นคุณพ่อคุณแม่ลูกอ่อน การตื่นนอนกลางดึกถือเป็นเรื่องปกติ แต่ก็ทำให้คุณพ่อคุณแม่หลายคนอ่อนเพลียในช่วงกลางวัน เนื่องจากนอนไม่พอ แล้วก็ได้แต่คิดว่า...เมื่อไหร่น้อลูกถึงจะนอนหลับยาวๆ...จะว่าไปแล้ว เรื่องการนอนหลับยาวช่วงกลางคืนในเด็ก นับว่ามีความสำคัญ คือ ถ้าเด็กนอนหลับได้ยาวและหลับสนิท ร่างกายก็สามารถหลั่ง Growth Hormone ได้เต็มที่ ร่างกายลูกก็จะเจริญเติบโตได้อย่างดีนั่นเอง

แบบแผนการนอนของลูก
ขณะที่อยากให้ลูกนอนหลับยาวนั้น คุณแม่ก็ต้องรู้จักแบบแผนการนอนของลูกให้ดีก่อน

ช่วงแรกเกิด
ลูกน้อยมักตื่นทุก 2-3 ชั่วโมง

3-6 เดือน
นอนหลับได้ยาวมากขึ้น แต่ก็อาจจะตื่นขึ้นมากินนมมื้อดึกช่วง 23.00-24.00 น. และ 03.00-04.00 น.และไม่ค่อยร้องให้ช่วงกลางดึกเท่าไหร่นัก

6 เดือนเป็นต้นไป 
ลูกสามารถนอนหลับได้ตลอดคืนแต่บางคนอาจจะ อยากดื่มนมกลางดึกสักหน่อย

9-12 เดือน 
ลูกอาจจะร้องกินนมมื้อดึกแต่อาจจะร้องไห้กลางดึกได้บ่อยๆ (ช่วงนี้ส่วนใหญ่เด็กจะคลานคล่องเล่นเก่ง ในช่วงกลางวัน)


ฝึกให้ลูกนอนหลับตลอดคืน

1. ให้คุณแม่สังเกตว่าการร้องไห้กลางดึกของลูกเป็นเพราะสาเหตุอะไร เช่น เปียกชื้น (ถึงจะใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปก็เถอะ) แมลงกัด ร้อนไปหน่อย เย็นไปนิด คัดจมูก ตกใจ แต่ถ้าลูกร้องเพราะหิวนมจริงๆก็ต้องให้ลูกกินค่ะ

2. ถ้าร้องเพราะอยากดูดนิดหน่อย (คุณแม่ต้องหมั่นสังเกตถึงรูปแบบการร้องไห้ของลูก) ลองตบก้นลูกน้อยสักพัก ร้องเพลงกล่อมเบาๆ หรือให้ดูน้ำเปล่า สักพักลูกก็จะหลับต่อ

3. สร้างบรรยากาศในห้องนอนให้ลูกรับรู้ว่า นี่คือเวลานอนในช่วงกลางคืน เช่น ดับไฟ เปิดเพลงกล่อมเบาๆอ่านนิทานเล่มโปรดให้ลูกฟังไม่เล่นกับลูกมากเกินไปและพาลูกเข้านอนให้เป็นเวลา

4. ข้อสำคัญคือ ถ้าลูกตื่นกลางดึก ไม่ควรอุ้มลูกขึ้นมาหยอกล้อ ถ้าจะป้อนนมก็ป้อนด้วยความสงบ อาจจะเปิดไฟหรี่ไว้เล็กน้อย เพื่อกล่อมให้ลูกหลับต่ออย่างง่ายดาย

5. ในช่วง 3 เดือนแรก คุณแม่ยังไม่ควรให้ลูกงดนมมื้อดึกทันทีทันใด และการฝึกลูกนอนยาวตลอดคืนนั้นต้องมีข้อผ่อนปรนบ้าง ตามวัยลูก เช่น เมื่อเข้าเดือนที่ 9 เด็กหัดเกาะยืน คลานคล่อง เล่นเก่ง ช่วงกลางคืนอาจจะหิวนมได้ หรือร้องงอแงได้บ้าง

ขอขอบคุณนิตยสาร Mother & Care Vol.2 No.15 

เรียบเรียงโดย www.พัฒนาการเด็ก.com